parallax background

ใต้เงากะอ์บะฮ์: ศาสนา ชาติ และอัตลักษณ์อินโดนีเซีย

ใต้เงากะอ์บะฮ์: ศาสนา ชาติ และอัตลักษณ์อินโดนีเซีย

จิรยุทธ์ สินธุพันธ์ุ


Di Bawah Lindungan Kabah (ตีพิมพ์ครั้งแรก ค.ศ. 1938) ที่อาจแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า  ภายใต้การปกป้องของกะอ์บะฮ์ เป็นนวนิยายของ ศาสตราจารย์ ดร. ฮัจยี อับดุล มาลิก บิน ดร. ซายิก ฮัจยี อับดุล คารีม อัมรุลลา หรือ ฮามก้า (Hamka) นักคิด นักเขียนเชื้อสายมินังกะเบา จากเกาะสุมาตรา ที่ชาวอินโดนีเซียเคารพรักมากที่สุดคนหนึ่ง นวนิยายเรื่องนี้อาจจะไม่ได้เป็นนวนิยายที่ดีที่สุดของฮัมก้า แต่ก็นับได้ว่าเป็นงานเขียนที่ชาวอินโดนีเชียทั่วไปหลงรักและจดจำได้มากกว่างานชิ้นอื่นของเขา ไม่ว่าจะเป็น Tuan Direktor (1939) หรือ Tenggelamnya Kapal  van der Wijck (1939) ที่ได้รับการเชิดชูจากนักวิจารณ์มากกว่า โดยนวนิยายเรื่อง Di Bawah Lindungan Kabah นี้ได้ถูกนำมาดัดแปลงสู่สื่ออื่นอยู่บ่อยครั้ง ทั้งในรูปละครเวที ละครโทรทัศน์ ละครวิทยุ และในรูปของภาพยนตร์ ที่กำกับโดย อัสรุล ซานี ในปี ค.ศ. 1977 และที่กำกับโดย ฮานนี ซาปุตรา ในปี ค.ศ. 2011

ภายใต้การปกป้องของกะอ์บะฮ์ เล่าเรื่องชีวิตและการเติบโตของ “ฮามิด” เด็กหนุ่มมุสลิมบนเกาะสุมาตรา ในบริบทสังคมประเพณีนิยมของชุมชนมินังกะเบา (Minangkabau) และภายใต้ระบบอบการปกครองอินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์ (Netherlands East Indies)  ฮามิดกำพร้าบิดาเมื่ออายุได้ 6 ขวบ และได้ติดตามมารดาที่ทำงานเป็นคนรับใช้เข้ามาอาศัยอยู่ในครัวเรือนของครอบครัวชนชั้นสูงชาวมินังกะเบาครอบครัวหนึ่ง หัวหน้าของครอบครัวคือ ฮัจยี ยาฟาร์ และภรรยาที่มีชื่อว่า อาซีอะห์ เอ็นดูฮามิดเหมือนคนในครอบครัว เลี้ยงดูเขาในฐานะพี่ชายและเพื่อนเล่นของ “ไซนับ” บุตรสาวคนเดียวของครอบครัว เด็กทั้งสองไม่เคยอยู่ห่างกันจวบจนกระทั่งวันที่ทั้งสองสำเร็จการศึกษาภาคบังคับจากโรงเรียนที่ก่อตั้งโดยชาวดัทช์ ฮามิดต้องเลือกทางเดินระหว่างการหางานทำเพื่อเลี้ยงตนเองและมารดา หรือต้องหาทุนเพื่อเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้น ในขณะที่ทางเดินชีวิตของไซนับนั้นมีทางเลือกอยู่เพียงทางเดียว คือ กลับมาอยู่บ้านเพื่อเรียนรู้ขนบธรรมเนียมประเพณีของสตรีชั้นสูงชาวมินังและรอวันที่จะมีคู่ครองที่เหมาะสมมาสู่ขอ ทว่าในใจของไซนับนั้นฮามิดคือรักเดียวของเธอที่ไม่อาจเป็นไปได้

ด้วยภาษาและการเล่าเรื่องที่เรียบง่าย ฮามก้าให้ภาพชีวิตประจำวันของคนหนุ่มสาวที่ต้องต่อสู้กับขนบประเพณีที่เคร่งครัดของชุมชนมินังกะเบา (Adat Minangkabau) โดยไม่บีบคั้นอารมณ์ของผู้อ่านจนเกินไป ไซนับยอมรับที่ใช้ชีวิตภายในรั้วรอบขอบชิดตามประเพณีแต่ก็ปฏิเสธที่จะแต่งงานกับผู้ชายที่เธอไม่รัก ฮามิดปฏิเสธระบบการแบ่งชนชั้นของชาวมินังกะเบาและเจ้าอาณานิคม โดยมองว่ามนุษย์ทุกคนล้วนเท่าเทียมกันในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า ความเชื่อของ “ศาสนาอิสลามที่แท้จริง” ตามแนวทางของขบวนการ “มูฮัมมาดิยะฮ์” (Muhammadiyah) ที่ถือกำเนิดขึ้นบนเกาะชวาในราวปี ค.ศ. 1912 เมื่อฮัจยี ยาฟาร์เสียชีวิต ความจำเป็นที่ไซนับจะต้องแต่งงานกับผู้ชายที่เหมาะสมเพื่อเข้ามาดูแลทรัพย์สมบัติและกิจการของครอบครัวก็บังเกิดขึ้น โดยที่ไม่ได้ล่วงรู้ความในใจของหนุ่มสาวทั้งสอง อาซีอะห์มารดาของไซนับได้ขอร้องให้ฮามิดเกลี้ยกล่อมให้ไซนับแต่งงานกับลูกพี่ลูกน้องของเธอ ฮามิดจำใจต้องทำตามคำขอร้องของผู้มีพระคุณ และออกเดินทางเพื่อแสวงบุญ ณ นครเมกกะด้วยหัวใจที่แหลกสลายและด้วยความเชื่อที่ว่าตนเองสามารถเกลี้ยกล่อมไซนับได้สำเร็จ

ฮามก้าและขบวนการ “มูฮัมมาดิยะฮ์” (Muhammadiyah)

ขบวนการ “มูฮัมมาดิยะฮ์” (Muhammadiyah) เป็นขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อปฏิรูปศาสนาและสังคมอิสลามที่เกิดขึ้นในอินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์ (อินโดนีเซีย) ตามวิสัยทัศน์ของท่านอะฮ์หมัด ดะลัน เสนาบดีแห่งราชสำนักยกยาร์การ์ตา (Yogyakarta) ที่ต้องการให้ชาวมุสลิมสามารถเข้าถึงหลักธรรมของศาสนาอิสลามได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องผ่านการตีความของครูสอนศาสนา ขบวนการ “มูฮัมมาดิยะฮ์” (Muhammadiyah) ประสานรูปแบบของการศึกษาสมัยใหม่เข้ากับการเรียนการสอนศาสนา เพื่อช่วยให้คนมุสลิมที่ยากจนสามารถเปลี่ยนสถานะทางสังคมของตนผ่านการศึกษา ความทันสมัยและหลักธรรมอันแท้จริงของศาสนาอิสลาม โดยแยกความเข้าใจในหลักธรรมออกจากธรรมเนียมปฏิบัติที่ยึดถือสืบต่อกันมา ตลอดจนส่งเสริมการศึกษาวัฒนธรรมท้องถิ่นและความเคารพในศาสนาอื่น

ฮามก้าเกิดในครอบครัวศิลปินและนักการศาสนาหัวก้าวหน้าในบริบทของสังคมและศาสนาอิสลามแบบประเพณีนิยมบนเกาะสุมาตรา นับแต่วัยเด็ก ฮามก้าจะได้เห็นความขัดแย้งระหว่างโลกตามประเพณีของชาวมินังกะเบา โลกตามความเชื่อของศาสนาอิสลาม และโลกสมัยใหม่ภายใต้การปกครองของชาวดัทช์ เมื่อเขาได้ทราบเรี่องราวเกี่ยวกับการปฏิรูปศาสนาและสังคมของขบวนการ “มูฮัมมาดิยะฮ์” (Muhammadiyah) ทำให้เขาเร่งรุดที่จะเดินทางมายังเกาะชวาเพื่อเรียนรู้แนวคิดและแนวปฏิบัติใหม่นี้ ขณะที่พำนักอยู่ในยกยาร์การ์ตา ฮามก้าได้มีโอกาสเปิดหูเปิดตากับวงการศิลปะที่เฟื่องฟูในยกยาร์การ์ตาและเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเคลื่อนไหวทางสังคมด้านต่างๆ ที่จะส่งอิทธิพลต่องานเขียนของเขา ทั้งในด้านความเท่าเทียมกันในสังคม ด้านสิทธิสตรี หรือการเรียนร้องอิสรภาพจากการปกครองของชาวดัทช์ โดยนอกเหนือจากงานเขียนแล้ว ฮามก้ายังได้ทำงานให้กับขบวนการ “มูฮัมมาดิยะฮ์” (Muhammadiyah) จวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต

“อินโดนีเซีย” ผ่านจินตนาการของ Di Bawah Lindungan Ka’bah

Di Bawah Lindungan Kabah ถูกเขียนขึ้นมาตามขนบของวรรณกรรมใหม่ (Pujangga Baru Literary) ในช่วงเริ่มต้นของการเรียกร้องอิสรภาพและการนำประเทศสู่ความทันสมัย ที่มักจะมีเนื้อหาเกี่ยวของกับสตรีนิยมและอิสรภาพจากอำนาจปกครอง ในจินตนาการของฮามก้านั้นความรักระหว่างฮามิดและไซนับ แม้ว่าจะเป็นความรักที่ไม่มีวันสมหวังในทางกายภาพแต่ก็เป็นความรักที่สมหวังในทางจิตวิญญาณ เขตรั้วบ้านและท้องทะเลระหว่างคนทั้งสองไม่อาจขวางกั้นความถวิลหาระหว่างกันได้ฉันใด ข้อจำกัดทางวัฒนธรรมประเพณีและการเมืองการปกครองก็ไม่อาจขวางกั้นความถวิลหาอิสรภาพจากขนบประเพณีและเจ้าอาณานิคมของชาวอินโดนีเชียได้ฉันนั้น    จิตวิญญาณแห่งอิสลามที่แท้จริงจะเป็นเครื่องนำพาให้อินโดนีเซียได้ค้นพบอิสรภาพ

เมื่อ Di Bawah Lindungan Kabah ถูกนำมาจินตนาการใหม่โดย อัสรุล ซานี ในปี ค.ศ. 1977 นั้น อินโดนีเชียถูกปกครองภายใต้ “ระบอบใหม่” (Orde Baru) ของประธานาธิบดี มูฮัมมัด ซูฮาร์โต เสรีภาพในการเคลื่อนไหวทางการเมือง การแสดงออกศาสนา และการแสดงความคิดเห็นถูกจำกัด เพื่อความสงบสุขและความเป็นเอกภาพของสังคม ในภาพยนตร์ฉบับที่กำกับโดย อัสรุล ซานีนั้น ฮามิดและไซนับถูกใช้ให้เป็นภาพตัวแทนของการเรียนร้องเสรีภาพในการเลือกใช้ชีวิตและในการแสดงออกของชาวอินโดนีเซีย สำหรับอัสรุล ซานี หลักธรรมอิสลาม (ที่ไม่จำเป็นต้องเป็นศาสนาอิสลาม) ประเทศอินโดนีเชียและการเมืองเป็นสามสิ่งที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ ด้วยเหตุนี้ เขาจึงให้ไซนับร้องตะโกนบทพูดที่ไม่มีอยู่ในนิยายในฉากหนึ่งของภาพยนตร์ว่า “Mencintai negara Anda adalah setengah dari agama Anda!” (ความรักต่อประเทศมีค่าเพียงครึ่งหนึ่งของความรักต่อศาสนา) ในขณะที่ในอีกฉากหนึ่ง ผู้ชมก็จะได้เห็นครูสอนศาสนาถูกจับกุมโดยกลุ่มทหาร ขณะที่ครูสอนศาสนาคนนั้นกำลังอธิบายให้ที่ประชุมฟังว่าอะไรคือจิตวิญญาณของอินโดนีเซีย

ในปี ค.ศ. 2011 ที่ Di Bawah Lindungan Kabah ในฉบับที่ ฮานนี ซาปุตรากำกับออกฉาย อินโดนีเชียได้ก้าวเข้าสู่การปฏิรูปการเมืองการปกครอง  (Reformasi) มากว่า 10 ปีแล้ว นอกเหนือจากเสรีภาพทางการเมืองและการแสดงออก ก็คือการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจแบบทุนนิยมและอิทธิพลของอิสลามนิยม (Islamist) ในการเมืองและสังคม ซึ่ง Di Bawah Lindungan Kabah ก็สะท้อนบริบทของสังคมดังกล่าว สิ่งหนึ่งที่ผู้ชมจะรู้สึกได้ทันทีก็คือจำนวนของการวางตำแหน่งสินค้า (Product Placement) ในภาพยนตร์ ทั้งที่สินค้านั้นไม่ได้อยู่ในยุคสมัยเดียวกันกับเนื้อเรื่อง ในด้านหนึ่งนั้น เราจะเห็นได้ถึงอิทธิพลของทุนที่เข้ามากำหนดการสร้างสรรค์ ในอีกด้านหนึ่งนั้น เราก็อาจกล่าวได้ว่า Di Bawah Lindungan Kabah ฉบับฮานนี ซาปุตรานั้นเป็นผลผลิตของโลกหลังสมัยใหม่ที่ไม่ใส่ใจต่อความถูกต้องทางประวัติศาสตร์ ในขณะที่ อัสรุล ซานนี พยายามที่จะวาง Di Bawah Lindungan Kabah ฉบับของตนในบริบททางประวัติศาสตร์ที่นวนิยายเรื่องนี้ถูกเขียนขึ้น ฮานนี ซาปุตรากำลังสร้างสำนึกใหม่เกี่ยวกับปัจจุบันและประวัติศาสตร์อินโดนีเซียผ่านการใช้องค์ประกอบของนวนิยายเรื่องนี้อย่างหลวมๆ ภาพยนตร์ Di Bawah Lindungan Kabah ฉบับปี ค.ศ. 2011 นี้ เรื่องราวการดิ้นรนของตัวละครภายใต้ข้อจำกัดทางประเพณี ความคิดและการเมืองจึงถูกทำให้เหลือเพียงเรืองราวการต่อสู้เพื่อความรักของวัยรุ่นในโลกอุดมคติแบบอิสลาม ในเดียวกันภาพสังคมและวัฒนธรรมของชุมชนมินังกะเบาที่เป็นพันธนาการของตัวละครก็ถูกทำให้เป็นภาพอดีตที่น่าถวิลหา (Nostalgia)

ด้วยเหตุนี้ เป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกที่นักวิจารณ์ต่างก็ลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า ตัวละครเอกใน Di Bawah Lindungan Kabah ฉบับปี ค.ศ. 2011 นี้ คือเมือง Padang อดีตเมืองหลวงของชาวมินังกะเบาที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ผ่านการนำเสนอของภาพยนตร์

รายการอ้างอิง

  • Hamka. Di Bawah Lindungan Ka’bah.
  • Rush, James R. Hamka’s Great Story: A Master Writer’s Vision of Islam for Modern Indonesia.
Jirayudh Sinthuphan
Jirayudh Sinthuphan
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. จิรยุทธ์ สินธุพันธุ์ - ปัจจุบันเป็นอาจารย์ประจำ ภาควิชาวาทวิทยาและสื่อสารการแสดง คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทั้งยังดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการและผู้อำนวยการศูนย์เอเชียใต้ศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย